การมองไม่เห็นมีอิทธิพพต่อพัฒนาการทางสังคมของเด็กตาบอดมาก พวกเขาต้องการที่จะเรียนรู้ประสบการณ์
ต่างๆ มากกว่าเด็กธรรดาเพื่อเขาจะได้ไม่ว้าเหว่ ต้องการเรียนรู้การเป็นผู้ให้และผู้รับด้วยเพื่อทำให้อยู่ในสังคม
ได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่มีการสูญเสียการได้ยิน ซึ่งอาจจะเป็นเด็กหูตึงหรือเด็กหูหนวก
ก็ได้
เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน 90 เดซิเบลขึ้นไป วัดด้วยเสียงบริสุทธิ์ ณ ความถี่ 100, 1000 และ
2000 Hzในหูข้างดีกว่าเด็กไม่สามารถใช้การได้ยินเป็นประโยชน์เต็มประสิทธิภาพในการฟัง อาจเป็นผู้ที่สูญเสียการได้
ยินมาแต่กำเนิดหรือเป็นการสูญเสียการได้ยินในภายหลังก็ตาม
เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน ระหว่าง 26-89 เดซิเบล ในหูข้างดีกว่า วัดโดยใช้เสียงบริสุทธิ์ความถี่
500,1000 และ 2000 Hz เป็นเด็กที่สูญเสียการได้ยินเล็กน้อยไปจนถึงการได้ยินขั้นรุนแรง
ลักษณะ
1. การพูด เด็กอาจพูดได้ไม่ชัดหรือไม่ได้เลย ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับการสูญเสียการได้ยินของเด็ก เด็กที่สูญเสียการได้ยิน
เล็กน้อยอาจพอพูดได้ส่วนเด็กที่สูญเสียการได้ยินมากหรือหูหนวกอาจพูดไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการสอนพูดตั้งแต่ในวัยเด็ก
2. ภาษา เด็กจะมีปัญหาทางด้านภาษา เช่น มีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ในวงจำกัด เรียงคำเป็นประโยคที่ผิดหลักภาษา
เป็นต้น
3. ความสามารถทางสติปัญญา จากการรายงานการวิจัยเป็นจำนวนมากพบว่า มีการกระจายคล้ายเด็กปกติ บางคน
อาจโง่ บางคนอาจฉลาด บางคนฉลาดถึงขั้นเป็นอัจฉริยะก็มี จึงอาจสรุปได้ว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ไม่ใช่เด็กโง่ทุกคน
4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำกว่าเด็กปกต
ิ เนื่องมาจากการสอนที่ผิดวิธี ความสามารถในภาษาที่มีอยู่อย่างจำกัด
5. การปรับตัว มีปัญหาเนื่องมาจากการสื่อสารกับผู้อื่น หากเด็กสามารถสื่อสารได้ดี ปัญหาทางอารมณ์ก็จะลดลง และ
สามารถปรับตัวได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ อาจเกิดความเก็บกด คับข้องใจ ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวได้
เด็กที่มีปัญหาความบกพร่องทางร่างกาย ขาดความสามารถทางการสื่อสารมีปัญหาอารมณ์ หรือสังคม รวมทั้งเด็กที่มีปัญญาเลิศ แต่ละคนมีปัญหาเฉพาะตัว แต่สิ่งที่เด็กทุกคนมีความต้องการพิเศษนี้ ต้องการเหมือนกันคือ การได้รับความช่วยเหลือแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการรักษา การบำบัดหรือการศึกษาพิเศษเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กสามารถพัฒนาตนและได้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพของเด็กและดีที่สุดสำหรับเด็ก
จุดมุ่งหมายที่สอดคล้องกันระหว่าง ครู ผู้ปกครอง และเด็กในการมาโรงเรียนก็คือ การพัฒนาความสามารถของเด็กแต่เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเองวิธีการที่นำมาใช้สั่งสอนอบรมเพื่อพัฒนาเด็กจึงจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับเด็ก แต่ละคนด้วย ในการที่ทำเช่นนี้ได้ ครู-ผู้ปกครองจะต้องรู้จักเด็กอย่างดี การเรียนการสอนในโรงเรียนโดยทั่วไปจะคำนึงถึงเกณฑ์ปกติ คือเด็กส่วนใหญ่เป็นอย่างไรก็จะดำเนินการเรียนการสอนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเด็กส่วนใหญ่เหล่านั้น เด็กซึ่งมีความแตกต่างไปจากกลุ่มจึงมักประสบความล้มเหลวทางการเรียนบ้างก็เกิดมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม เนื่องมาจากาการไม่ประสบความสำเร็จ บทความนี้จะพูดถึงเด็กกลุ่มหลังนี้ในลักษณะของ“เด็กที่มีความต้องการพิเศษโรงเรียนปกติ “ และเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจตรงกันจึงขอกำหนดคำจำกัดความ และขอบข่ายไว้ดังนี้คือ
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร จากการเรียนการสอนตามปกติ ทั้งนี้ มีสาเหตุมาจากสภาพความบกพร่องทางร่างกายสติปัญญาและอารมณ์จำเป็นต้องจัดการศึกษาพิเศษให้เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็ก
โรงเรียนปกติ หมายถึง โรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กปกติในระดับปฐมวัยและ / ประถมศึกษา และ / หรือมัธยมศึกษา
เด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติ หมายถึง เด็กที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนปกติ ซึ่งอาจพบในลักษณะของการเรียนร่วมชั้นกับเด็กปกติเต็มเวลา หรือเรียนร่วมบางเวลาหรือเรียนอยู่ในชั้นที่จัดเฉพาะกลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
จะพบเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้ที่ไหน
เด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกตินั้น อาจจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มคือเด็กที่โรงเรียนรับเข้ามาเรียนโดยไม่ทราบว่าเป็นเด็กพิเศษ เนื่องมาจากไม่มีการทดสอบหรือไม่สามารถสังเกตได้เด่นชัด เด็กประเภทนี้หากมีความผิดปกติ หรือความพิการมักอยู่ในขั้นไม่รุนแรง จึงทำให้ครู - ผู้ปกครองไม่ทราบปัญหา แต่เมื่อเข้ามาเรียนในโรงเรียนระยะหนึ่งแล้วจึงสังเกตได้ว่ามีความก้าวหน้าล่าช้า เรียนไม่ทันเพื่อน หรือมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
เด็กที่มีความต้องการพิเศษอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นเด็กที่มีความผิดปกติบางประการที่เห็นเด่นชัด หรือได้รับการวินิจฉัยมาแล้วแต่ต้นก่อนเข้าโรงเรียน โดยที่โรงเรียนนั้นๆ มีบริการการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กเหล่านี้ในลักษณะของการเรียนร่วมมีบริการพิเศษตามความเหมาะสม เด็กกลุ่มนี้มักมีความผิดปกติที่เด่นชัดหรือรุนแรงกว่าพวกแรก และโรงเรียนที่ให้บริการด้านนี้ก็มักทราบล่วงหน้า และเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าควรปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่บอกกล่าวในที่นี้ขจะขอเน้นเฉพาะเด็กกลุ่มแรกคือเด็กที่พบในโรงเรียนปกติ เพื่อเป็นข้อสังเกตสำหรับครูในการเข้าใจเด็กและทำการคัดแยกวินิจฉัยเด็ก ว่าเด็กคนใดที่เป็นเด็กซึ่งมีความต้องการพิเศษในด้านใด และควรได้รับการช่วยเหลือขั้นต้นอย่างไรบ้าง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น